1. โครงสร้างองค์กรหมายถึงอะไร
หมายถึง การจัดระบบในการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้โดยการจัดสรรทรัพยากร
การแบ่งหน้าที่ในแต่ละฝ่าย ซึ่งการจัดเป็นรูปต่างๆ กันเพื่อให้การบริหารงานบรรลุจุดมุ่งหมาย
2. องค์กรแบบมีชีวิต หมายถึงอะไร
หมายถึง โครงสร้างสามารถยืดหยุ่นได้ มีการกระจายอำนาจ มีการทำงานเป็นทีม
มีการติดต่อสื่อสารแบบไม่เป็นทางการและเน้นผลงานมากกว่ากฏระเบียบ
3. กระบวนการจัดการแบบ 5s Model มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
1. Small เล็กแต่มีคุณภาพ
2. Smart ดูฉลาดและน่าเชื่อถือ
3. Smile ยิ้มแย้มแจ่มใส
4. Smooth ไม่มีความขัดแย้ง ผนึกกำลังการทำงานเป็นทีมเพื่อความสำเร็จ
5. Simplify ทำเรื่องซับซ้อนให้เป็นเรื่องง่าย
4. ลักษณะขององค์การแบบเครือข่าย (Network organization) หมายถึงอะไร
องค์การเครือข่ายเป็นผลรวมขององค์การอิสระหลายๆองค์การมาผูกเชื่อมโยงกันที่มารวมตัวกัน
เพื่อทำงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันหรือความต้องการเดียวกัน
5. แนวโน้มของการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคตมีอะไรบ้าง
1. องค์กรแบบสิ่งมีชีวิต (Organic Organization)
2. องค์กรเสมือนจริง (Virtual Organization)
3. องค์การแบบเครือข่าย (Network organization)
วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556
แบบฝึกหัด Reporting - การรายงานผล
การรายงานผล มีความสำคัญอย่างไร ต่อการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
- การรายงานผลการดำเนินงานการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้เป็นส่วนสำคัญในการแสดงข้อมูลอย่างเป็นระบบให้กับผู้บังคับบัญชา หรือสาธารณชนได้รับทราบผลการดำเนินงาน และเป็นการนำเสนอเพื่อปรับปรุงในการดำเนินงานครั้งต่อ ๆ ไป
- การรายงานผลการดำเนินงานการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้เป็นส่วนสำคัญในการแสดงข้อมูลอย่างเป็นระบบให้กับผู้บังคับบัญชา หรือสาธารณชนได้รับทราบผลการดำเนินงาน และเป็นการนำเสนอเพื่อปรับปรุงในการดำเนินงานครั้งต่อ ๆ ไป
แบบฝึกหัด เรื่อง Coordinating - การประสานงาน
1. สิ่งสำคัญเบื้องต้นของการประสานงาน มีอะไรบ้าง
1. การจัดวางหน่วยงานที่ง่ายและเหมาะสม
2. การมีโครงการและนโยบายอันสอดคล้องกัน
3. การมีวิธีติดต่องานภายในองค์การที่ทำไว้ดี
4. มีเหตุที่ช่วยให้มีการประสานงานโดยสมัครใจ
5. การประสานงานโดยวิธีควบคุม
2. เทคนิคการประสานงาน (Techniques Coordination) มีอะไรบ้าง
1. จัดให้มีระบบการติดต่อสื่อสารทั้งภายในหน่วยงานและภายนอกหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2. การกำหนดอำนาจหน้าที่และตำแหน่งงานอย่างชัดเจน
3. การสั่งการและการมอบหมายอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
4. การใช้คณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ประสานงานโดยเฉพาะการประสานงานภายในองค์การ
5. การจัดให้มีการประสานงานระหว่างพนักงานในองค์การ
6. การจัดให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา
7. การติดตามผล
3. จงอธิบายอุปสรรคของการประสานงาน มาพอเข้าใจ
- การขาดความเข้าใจระหว่างผู้ร่วมงานด้วยกัน
- ขาดผู้บังคับบัญชา
- ทำงานไร้แบบแผน
- มีการก้าวก่ายหน้าที่การงาน
- ขาดการติดต่อสื่อสารระหว่างทีมร่วมงานด้วยกัน
1. การจัดวางหน่วยงานที่ง่ายและเหมาะสม
2. การมีโครงการและนโยบายอันสอดคล้องกัน
3. การมีวิธีติดต่องานภายในองค์การที่ทำไว้ดี
4. มีเหตุที่ช่วยให้มีการประสานงานโดยสมัครใจ
5. การประสานงานโดยวิธีควบคุม
2. เทคนิคการประสานงาน (Techniques Coordination) มีอะไรบ้าง
1. จัดให้มีระบบการติดต่อสื่อสารทั้งภายในหน่วยงานและภายนอกหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2. การกำหนดอำนาจหน้าที่และตำแหน่งงานอย่างชัดเจน
3. การสั่งการและการมอบหมายอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
4. การใช้คณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ประสานงานโดยเฉพาะการประสานงานภายในองค์การ
5. การจัดให้มีการประสานงานระหว่างพนักงานในองค์การ
6. การจัดให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา
7. การติดตามผล
3. จงอธิบายอุปสรรคของการประสานงาน มาพอเข้าใจ
- การขาดความเข้าใจระหว่างผู้ร่วมงานด้วยกัน
- ขาดผู้บังคับบัญชา
- ทำงานไร้แบบแผน
- มีการก้าวก่ายหน้าที่การงาน
- ขาดการติดต่อสื่อสารระหว่างทีมร่วมงานด้วยกัน
Coordinating - การประสานงาน
หมายถึง ติดต่อสื่อสารตามลำดับขั้นตอนด้วยวาจา ด้วยเอกสาร หรือช่องทางอื่น ๆ โดยมี
การจัดระเบียบวิธีการทำงานเพื่อให้งานและหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ร่วมมือปฏิบัติเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
ไม่ทำงานซ้ำซ้อนกัน ขัดแย้งหรือ ก้าวก่ายหน้าที่กัน ทั้งนี้เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นสอดคล้อง
กับวัตถุประสงค์และนโยบายขององค์การนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
ลักษณะของการประสานงาน (Nature of Coordination)
1. การประสานงาน เป็นการผสมผสานระหว่างทรัพยากรที่นำมาเป็นปัจจัยการผลิต (Input)
สั่งเข้าไปในกระบวนการดำเนินงาน (Process) แล้วจะได้ผลผลิตออกมา (Output) อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การประสานงานอาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งรูปแบบที่เป็นทางการและรูปแบบที่ไม่เป็นทางการก็ได้ ลักษณะของการประสานงานภายในองค์การถือได้ว่ามีการประสานงานอยู่ 2 ระดับ คือ
2.1 การประสานงานระหว่างผู้บังคับบัญชามายังผู้ใต้บังคับบัญชา (Top down)
2.2 การประสานงานระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชามายัง ผู้บังคับบัญชา (Bottom up) โดยการประสานงานทั้ง 2
ประเภทนี้ถือเป็นการประสานงานแนวดิ่ง (Vertical) แต่ถ้าหากเป็นการประสานงานของพนักงานระดับเดียวกัน ถือได้ว่าเป็นการประสานงานในแนวนอนหรือแนวราบ
(Horizontal) แต่ถ้าเป็นการประสานงานกับภายนอกศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้โดยจะต้องติดต่อกับแหล่งการเรียนรู้หน่วยงานรัฐบาล ลูกค้า สังคม คู่แข่งขัน ฯลฯ
สิ่งสำคัญเบื้องต้นของการประสานงาน
1. การจัดวางหน่วยงานที่ง่ายและเหมาะสม
2. การมีโครงการและนโยบายอันสอดคล้องกัน
3. การมีวิธีติดต่องานภายในองค์การที่ทำไว้ดี
4. มีเหตุที่ช่วยให้มีการประสานงานโดยสมัครใจ
5. การประสานงานโดยวิธีควบคุม
ความสำคัญของการประสานงาน
1. การประสานงานเป็นกระบวนการในการบริหาร
2. การประสานงานเป็นระเบียบธรรมเนียมในการบริหารงาน
3. การประสานงานเป็นหน้าที่ของนักบริหารหรือหัวหน้างาน
เทคนิคการประสานงาน (Techniques Coordination)
1. จัดให้มีระบบการติดต่อสื่อสารทั้งภายในหน่วยงานและภายนอกหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2. การกำหนดอำนาจหน้าที่และต าแหน่งงานอย่างชัดเจน
3. การสั่งการและการมอบหมายอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
4. การใช้คณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ประสานงานโดยเฉพาะการประสานงานภายในองค์การ
5. การจัดให้มีการประสานงานระหว่างพนักงานในองค์การ
6. การจัดให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา
7. การติดตามผล
ประโยชน์ของการประสานงาน
1. ช่วยให้การทำงานบรรลุเป้าหมายโดยราบรื่นและรวดเร็ว
2. ช่วยประหยัดเวลาในการทำงานให้น้อยลงและสามารถเพิ่มผลผลิตของงานมากขึ้น
3. ช่วยประหยัดเงิน วัสดุ และสิ่งของในการดำเนินงาน
4. ช่วยให้ทุกคนทุกฝ่ายมีความเข้าใจซาบซึ้งถึงนโยบายและวัตถุประสงค์ขององค์การได้ดียิ่งขึ้น อันจะเป็นอุปกรณ์ให้การบริหารงานประสบผลสำเร็จด้วยดี
5. ช่วยสร้างความสามัคคีธรรมในหมู่คณะและความเข้าใจอันดี
6. ช่วยเสริมสร้างขวัญในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานให้ดีขึ้น
7. ช่วยลดอันตรายจากการทำงานให้น้อยลง
8. ช่วยลดข้อขัดแย้งในการทำงาน
9. ช่วยให้มีการปฏิบัติงานเป็นหมู่คณะ (Teamwork) เป็นการช่วยเพิ่มผลสำเร็จของงานให้มากขึ้น
10. ช่วยให้เกิดความคิดใหม่ ๆ และมีการปรับปรุงอยู่เสมอ
11. ช่วยกันป้องกันการทำงานซ้ าซ้อนกันอันทำให้ไม่ประหยัด
12. ช่วยให้มีการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดระเบียบวิธีการทำงานเพื่อให้งานและหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ร่วมมือปฏิบัติเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
ไม่ทำงานซ้ำซ้อนกัน ขัดแย้งหรือ ก้าวก่ายหน้าที่กัน ทั้งนี้เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นสอดคล้อง
กับวัตถุประสงค์และนโยบายขององค์การนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
ลักษณะของการประสานงาน (Nature of Coordination)
1. การประสานงาน เป็นการผสมผสานระหว่างทรัพยากรที่นำมาเป็นปัจจัยการผลิต (Input)
สั่งเข้าไปในกระบวนการดำเนินงาน (Process) แล้วจะได้ผลผลิตออกมา (Output) อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การประสานงานอาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งรูปแบบที่เป็นทางการและรูปแบบที่ไม่เป็นทางการก็ได้ ลักษณะของการประสานงานภายในองค์การถือได้ว่ามีการประสานงานอยู่ 2 ระดับ คือ
2.1 การประสานงานระหว่างผู้บังคับบัญชามายังผู้ใต้บังคับบัญชา (Top down)
2.2 การประสานงานระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชามายัง ผู้บังคับบัญชา (Bottom up) โดยการประสานงานทั้ง 2
ประเภทนี้ถือเป็นการประสานงานแนวดิ่ง (Vertical) แต่ถ้าหากเป็นการประสานงานของพนักงานระดับเดียวกัน ถือได้ว่าเป็นการประสานงานในแนวนอนหรือแนวราบ
(Horizontal) แต่ถ้าเป็นการประสานงานกับภายนอกศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้โดยจะต้องติดต่อกับแหล่งการเรียนรู้หน่วยงานรัฐบาล ลูกค้า สังคม คู่แข่งขัน ฯลฯ
สิ่งสำคัญเบื้องต้นของการประสานงาน
1. การจัดวางหน่วยงานที่ง่ายและเหมาะสม
2. การมีโครงการและนโยบายอันสอดคล้องกัน
3. การมีวิธีติดต่องานภายในองค์การที่ทำไว้ดี
4. มีเหตุที่ช่วยให้มีการประสานงานโดยสมัครใจ
5. การประสานงานโดยวิธีควบคุม
ความสำคัญของการประสานงาน
1. การประสานงานเป็นกระบวนการในการบริหาร
2. การประสานงานเป็นระเบียบธรรมเนียมในการบริหารงาน
3. การประสานงานเป็นหน้าที่ของนักบริหารหรือหัวหน้างาน
เทคนิคการประสานงาน (Techniques Coordination)
1. จัดให้มีระบบการติดต่อสื่อสารทั้งภายในหน่วยงานและภายนอกหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2. การกำหนดอำนาจหน้าที่และต าแหน่งงานอย่างชัดเจน
3. การสั่งการและการมอบหมายอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
4. การใช้คณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ประสานงานโดยเฉพาะการประสานงานภายในองค์การ
5. การจัดให้มีการประสานงานระหว่างพนักงานในองค์การ
6. การจัดให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา
7. การติดตามผล
ประโยชน์ของการประสานงาน
1. ช่วยให้การทำงานบรรลุเป้าหมายโดยราบรื่นและรวดเร็ว
2. ช่วยประหยัดเวลาในการทำงานให้น้อยลงและสามารถเพิ่มผลผลิตของงานมากขึ้น
3. ช่วยประหยัดเงิน วัสดุ และสิ่งของในการดำเนินงาน
4. ช่วยให้ทุกคนทุกฝ่ายมีความเข้าใจซาบซึ้งถึงนโยบายและวัตถุประสงค์ขององค์การได้ดียิ่งขึ้น อันจะเป็นอุปกรณ์ให้การบริหารงานประสบผลสำเร็จด้วยดี
5. ช่วยสร้างความสามัคคีธรรมในหมู่คณะและความเข้าใจอันดี
6. ช่วยเสริมสร้างขวัญในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานให้ดีขึ้น
7. ช่วยลดอันตรายจากการทำงานให้น้อยลง
8. ช่วยลดข้อขัดแย้งในการทำงาน
9. ช่วยให้มีการปฏิบัติงานเป็นหมู่คณะ (Teamwork) เป็นการช่วยเพิ่มผลสำเร็จของงานให้มากขึ้น
10. ช่วยให้เกิดความคิดใหม่ ๆ และมีการปรับปรุงอยู่เสมอ
11. ช่วยกันป้องกันการทำงานซ้ าซ้อนกันอันทำให้ไม่ประหยัด
12. ช่วยให้มีการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
Directing - การอำนวยการ
หมายถึง การจัดการของผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการสั่งการตามหน้าที่ความรับผิดชอบ
ชี้แนะ บุคคล การนิเทศงาน และการติดตามผล เพื่อให้งานดำเนินไปตามแผนหรือ
เป้าหมายที่กำหนดไว้
หลักการอำนวยการ
- ด้านการวางแผน
มีส่วนในการกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดลักษณะงาน ช่วยตีความนโยบายขององค์กร
ให้บุคลากรทราบ พัฒนาสิ่งใหม่ ปรับปรุงระบบและวิธีปฏิบัติให้ดีขึ้น
- ด้านการจัดองค์กร
มอบหมายงาน แบ่งงาน กำหนดมาตรฐาน กำหนดสายบังคับบัญชาและความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคล ดูแลการปฏิบัติงาน
- ด้านการปฏิบัติการของผู้อำนวยการ
กำหนดการเปลี่ยนแปลงบุคคล ประเมินผลการปฏิบัติแต่ละคน ฝึกบุคคลไว้ทดแทน
ดูแลความสัมพันธ์และขวัญแก่บุคลากร ศึกษาความจำเป็นและต้องการของบุคลากร
- ด้านการควบคุม
ติดตามวิธีการและขบวนการปฏิบัติ กำหนดมาตรฐานสำหรับงานแต่ละอย่าง
วัดผลผลิต ตรวจสอบความถูกต้องและปริมาณงาน
ข้อเสนอแนะในการอำนวยการ
- สร้างการมีส่วนร่วมในการบริหาร เพื่อจูงใจ
- จัดหาทรัพยากรต่าง ๆ ให้แต่ละงาน
- ดูแลกิจกรรมสำนักงานให้เป็นไปตามกฎวินัย
- สร้างความสัมพันธ์อันดีแก่กัน
- ลดความสูญเปล่าทั้งด้านวัสดุ เงินทุน เครื่องจักร อุปกรณ์
- ประเมินผลการปฏิบัติเพื่อกำหนดค่าแรงให้เหมาะสม
- สำรวจความคิดเห็นของพนักงานที่มีต่อการบังคับบัญชา
- สร้างผู้ช่วยที่มีความสามารถ
- ช่วยเหลือแนะนำผู้ใต้บังคับบัญชา
- รายงานฝ่ายจัดการระดับสูงทราบถึงผลการปฏิบัติงาน
ชี้แนะ บุคคล การนิเทศงาน และการติดตามผล เพื่อให้งานดำเนินไปตามแผนหรือ
เป้าหมายที่กำหนดไว้
หลักการอำนวยการ
- ด้านการวางแผน
มีส่วนในการกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดลักษณะงาน ช่วยตีความนโยบายขององค์กร
ให้บุคลากรทราบ พัฒนาสิ่งใหม่ ปรับปรุงระบบและวิธีปฏิบัติให้ดีขึ้น
- ด้านการจัดองค์กร
มอบหมายงาน แบ่งงาน กำหนดมาตรฐาน กำหนดสายบังคับบัญชาและความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคล ดูแลการปฏิบัติงาน
- ด้านการปฏิบัติการของผู้อำนวยการ
กำหนดการเปลี่ยนแปลงบุคคล ประเมินผลการปฏิบัติแต่ละคน ฝึกบุคคลไว้ทดแทน
ดูแลความสัมพันธ์และขวัญแก่บุคลากร ศึกษาความจำเป็นและต้องการของบุคลากร
- ด้านการควบคุม
ติดตามวิธีการและขบวนการปฏิบัติ กำหนดมาตรฐานสำหรับงานแต่ละอย่าง
วัดผลผลิต ตรวจสอบความถูกต้องและปริมาณงาน
ข้อเสนอแนะในการอำนวยการ
- สร้างการมีส่วนร่วมในการบริหาร เพื่อจูงใจ
- จัดหาทรัพยากรต่าง ๆ ให้แต่ละงาน
- ดูแลกิจกรรมสำนักงานให้เป็นไปตามกฎวินัย
- สร้างความสัมพันธ์อันดีแก่กัน
- ลดความสูญเปล่าทั้งด้านวัสดุ เงินทุน เครื่องจักร อุปกรณ์
- ประเมินผลการปฏิบัติเพื่อกำหนดค่าแรงให้เหมาะสม
- สำรวจความคิดเห็นของพนักงานที่มีต่อการบังคับบัญชา
- สร้างผู้ช่วยที่มีความสามารถ
- ช่วยเหลือแนะนำผู้ใต้บังคับบัญชา
- รายงานฝ่ายจัดการระดับสูงทราบถึงผลการปฏิบัติงาน
Staffing - การบริหารงานบุคคล
ความหมายของการบริหารบุคคล
ศิลปะในการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานใน
องค์การ มอบหมายงาน พัฒนาบุคคลและให้พ้นจากงาน โดย
คำนึงถึงประสิทธิภาพของเป้าหมายหรือบริการของศูนย์ฯ หรือ
หน่วยงานเป็นสำคัญ
หลักในการบริหารงานบุคคล แบ่งเป็น 2 ระบบคือ
1. ระบบคุณธรรม (Merit System)
2. ระบบอุปถัมภ์ (Patronage System)
การจำแนกตำแหน่ง
หมายถึง การจัดสรรตตำแหน่งออกเป็นประเภท หมวดหมู่ ตามล าดับชั้น เพื่อความสะดวกในการสรรหา
บรรจุแต่งตั้ง เลื่อนขั้น และเลื่อนต าแหน่ง การจำแนก แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1.จำแนกตำแหน่งตามลักษณะตำแหน่ง (Position)
2.จำแนกตำแหน่งตามลักษณะยศ (Rank Classification)
3.จำแนกตำแหน่งตามลักษณะชั้นยศทางวิชาการ (Academic Rank Classification)
ศิลปะในการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานใน
องค์การ มอบหมายงาน พัฒนาบุคคลและให้พ้นจากงาน โดย
คำนึงถึงประสิทธิภาพของเป้าหมายหรือบริการของศูนย์ฯ หรือ
หน่วยงานเป็นสำคัญ
หลักในการบริหารงานบุคคล แบ่งเป็น 2 ระบบคือ
1. ระบบคุณธรรม (Merit System)
2. ระบบอุปถัมภ์ (Patronage System)
การจำแนกตำแหน่ง
หมายถึง การจัดสรรตตำแหน่งออกเป็นประเภท หมวดหมู่ ตามล าดับชั้น เพื่อความสะดวกในการสรรหา
บรรจุแต่งตั้ง เลื่อนขั้น และเลื่อนต าแหน่ง การจำแนก แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1.จำแนกตำแหน่งตามลักษณะตำแหน่ง (Position)
2.จำแนกตำแหน่งตามลักษณะยศ (Rank Classification)
3.จำแนกตำแหน่งตามลักษณะชั้นยศทางวิชาการ (Academic Rank Classification)
แหล่งการเรียนรู้ตามอัธยาศัย
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา
ประวัติความเป็นมา
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นหน่วยงานส่งเสริมวิชาการของมหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็นศูนย์บริการ สารสนเทศเพื่อการศึกษา ค้นคว้า และวิจัย พัฒนามาจากห้องอ่านหนังสือ
ซึ่งเปิดบริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 โดยใช้ห้องเลขที่ 203 ในอาคารเรียนของวิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสน ต่อมาในปี พ.ศ. 2499 ห้องสมุดได้ย้ายมาอยู่อาคารอำนวยการ
โดยได้ใช้ห้องชั้นล่างของอาคารเป็นที่ปฏิบัติงานจนถึงปี พ.ศ. 2503 วิทยาลัยได้สร้างอาคารเรียนหลังใหม่เสร็จเรียบร้อย ห้องสมุดได้ย้ายอีกครั้งมาอยู่ในห้องโถงชั้นล่างของอาคารเรียนซีกหนึ่ง
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2516 วิทยาลัยได้งบประมาณก่อสร้างอาคารหอสมุดเป็นเอกเทศ มีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น และเปิดใช้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2516
เมื่อวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้รับการเปลี่ยนฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ วิทยาเขตบางแสน และมหาวิทยาลัยบูรพา ตามลำดับนั้น ในปีงบประมาณ 2536-2539
สำนักหอสมุดได้รับงบประมาณการก่อสร้างอาคารสำนักหอสมุดหลังใหม่สูง 7 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 11,500 ตารางเมตร และได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ “อาคารเทพรัตนราชสุดา”
และเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคาร เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2538
ปรัชญา
- ห้องสมุดเป็นแหล่งเรียนรู้สู่การพัฒนาสังคม
วิสัยทัศน์
- มุ่งพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในการให้บริการสารสนเทศ
ด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อความเป็นมาตรฐานสากล
เป้าหมายการดำเนินงาน
- 1. เพื่อสนับสนุนด้านวิชาการของมหาวิทยาลัย ให้บรรลุตามภารกิจหลัก 4 ประการ คือ
การเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการแก่ชุมชน และการส่งเสริมทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
2. เพื่อจัดหาและให้บริการทรัพยากรสารสนเทศทุกรูปแบบ ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ
3. เพื่อจัดระบบทรัพยากรสารสนเทศให้ผู้ใช้เข้าถึงได้สะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง และตรงตามความต้องการ
โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
4. เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน
ประวัติส่วนตัว
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล รัชกูร อานามนารถ
วันเกิด วันเสาร์ 31 มกราคม พ.ศ. 2534
ศาสนา คริสต์
เกิดที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ประวัติการศึกษา
อนุบาล 1 โรงเรียนอนุบาลบุญสม จันทบุรี
อนุบาล 2-3 โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา ชลบุรี
ประถมศึกษา โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา ชลบุรี
มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา ชลบุรี
มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา ชลบุรี
สิ่งที่สนใจ เทคโนโลยี , คอมพิวเตอร์ , เกม
สิ่งที่ชอบทำ ดูหนัง , ฟังเพลง ,Workshop โปรแกรมตัดต่อ ,อ่านหนังสือ
ชื่อ-สกุล รัชกูร อานามนารถ
วันเกิด วันเสาร์ 31 มกราคม พ.ศ. 2534
ศาสนา คริสต์
เกิดที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ประวัติการศึกษา
อนุบาล 1 โรงเรียนอนุบาลบุญสม จันทบุรี
อนุบาล 2-3 โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา ชลบุรี
ประถมศึกษา โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา ชลบุรี
มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา ชลบุรี
มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา ชลบุรี
สิ่งที่สนใจ เทคโนโลยี , คอมพิวเตอร์ , เกม
สิ่งที่ชอบทำ ดูหนัง , ฟังเพลง ,Workshop โปรแกรมตัดต่อ ,อ่านหนังสือ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


